เกี่ยวกับฉัน
- น.ส.ดรุณี ฟองแก้ว
- นักศึกษาป.บัณฑิตวิชาชีพครู รุ่นที่ 11 ศูนย์มหาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ดอยอินทนนท์
ข้อมูลทั่วไป:
กล่าวถึงจังหวัดเชียงใหม่ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ข้านชื่อและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่ง ก็คือ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย จะประกอบด้วยภูเขาสูงต่ำสลับซับซ้อน ลักษณะส่วนใหญ่ของภูเขาจะเป็นหินแกรนิต พื้นที่เป็นลานหินถ้ำมีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางภาคตะวันออกและแม่น้ำแจ่มไหลผ่านทางด้านตะวันตก อากาศหนาวเย็น ดอกไม้เมืองหนาว ชาวเขาบนยอดดอยและวิวทิวทัศน์อันงดงาม คือ สีสันที่มีชีวิตชีวาของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้
ประวัติความเป็นมา
แต่เดิมนั้นดอยอินทนนท์มีชื่อว่า ดอยอ่างกา ในสมัยพระเจ้าอินทรวิชยานนท์เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ทรงรักและหวงแหนป่าแห่งนี้เป็นอย่างมาก ทรงรับสั่งว่าหากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ให้นำอัฐส่วนหนึ่งไปบรรจุไว้บนยอดดอยด้วย ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ดอยอินทนนท์ ตามพระนามของผู้ครองนครนั้น และเมื่อขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง จะเห็นสถูปบรรจุพระอัฐของพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ประดิษฐานอยู่
ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
สภาพภูมิประเทศ : ประกอบด้วยภูเขาสูงต่ำสลับซับซ้อน ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร โดยที่ป่าอินทนนท์เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำแม่กลาง แม่ป่าก่อ แม่ปอน แม่ยะ แม่แจ่ม แม่ขาน และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำแม่ปิงซึ่งเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล
สภาพอากาศ
เนื่องจากดอยอินทนนท์มีความสูงมากถึง 2,565 เมตร อากาศจึงหนาวเย็นตลอดปีโดยในเดือนมกราคมเป็นเดือนที่มีอากาศหนาวเย็นมากที่สุดแระมาณ 5.5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิใกล้เคียงกับประเทศคานาดา และอุณหภูมิลดลงถึง -8 องศาเซลเซียส แต่อย่งไรก็ตามจะมีฝนตกบ้างในเดือนพฤศจิกายนและมีเมฆหมอกปกคลุมตลอดเวลา
พรรณไม้และสัตว์ป่า
ป่าไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ขึ้นบนยอดดอยสูงนั้นถือเป็นมรดกที่มีค่ามากในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งประกอบด้วยป่าไม้หลายชนิด เช่น ป่าดงดิบชื้น ป่าสน ป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ พันธุ์ไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ สัก ตะเคียน สนเขา เต็ง เหียง แดง ประดู่ รกฟ้า มะค่า เป็นต้น ดอกไม้สีสวยงามหลายชนิดที่สร้างสีสันให้กับยอดดอยอิทนนท์ไม่น้อย อันได้แก่ ฟ้ามุ่ย ช้างแดง รองเท้า นารีและกุหลาบป่า
สำหรับสัตว์ป่ามีจำนวนมากกว่า 446 สายพันธุ์ แต่สัตว์ที่โดดเด่นของดอยอินทนนท์กลับเป็นสัตว์เล็ก ๆ เช่นเต่าหกเป็นเต่าบกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บริเวณชุ่มน้ำและลำห้วยตั้งแต่ กม. 31 ใกล้กับที่ทำการอุทยานแห่งชาติจนถึงระดับความสูง 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางก็เป็นแหล่งอาศัยของกะท่าง รวมทั้งปลาค้างคาวที่พบตามสำน้ำ กม. 24-31
การดูนก
ตามลักษณะเด่นของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จะมีนกนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ จากการสำรวจพบว่ามีนกถึง 364 ชนิด จากจำนวน 915 ชนิดที่พบในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตอาจจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้มีนกบางชนิดที่หาดูไม่ได้แล้งในที่แห่งอื่น เช่น นกศิวะหางสีตาล นกกระจี๊ดคอสีเทาและนกกินปลีหางยาวเขียว ชนิดย่อยดอยอ่างกา ซึ่งพบที่นี่แห่งเดียวในโลก หากมีลมาในช่วงเดือนตุลาคมป่าก็จะค฿กคักป็นพิเศษ ทั้งนกอพยพและนักดูนกด้วย จุดดูนกที่น่าสนใจ เช่น บริเวณ กม. 13 ซึ่งเป็นจุดดูนกกางเขนน้ำหลังดำ นกพญาไฟคดเทา นกนางแอ่นตะโพกแดง กม. 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนองน้ำหลังบ้านไผ่ไพรวัลย์มีคนพบนกอัญชันหางดำ นกที่พบได้ยากและเป็นที่ใฝ่ฝันว่าจะได้เห็นสักครั้งของนักดูนก
ที่มา : http://www.thai-tour.com/thai-tour/north/Chiangmai/data/place/doiindranon/index.html
กล่าวถึงจังหวัดเชียงใหม่ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ข้านชื่อและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่ง ก็คือ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย จะประกอบด้วยภูเขาสูงต่ำสลับซับซ้อน ลักษณะส่วนใหญ่ของภูเขาจะเป็นหินแกรนิต พื้นที่เป็นลานหินถ้ำมีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางภาคตะวันออกและแม่น้ำแจ่มไหลผ่านทางด้านตะวันตก อากาศหนาวเย็น ดอกไม้เมืองหนาว ชาวเขาบนยอดดอยและวิวทิวทัศน์อันงดงาม คือ สีสันที่มีชีวิตชีวาของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้
ประวัติความเป็นมา
แต่เดิมนั้นดอยอินทนนท์มีชื่อว่า ดอยอ่างกา ในสมัยพระเจ้าอินทรวิชยานนท์เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ทรงรักและหวงแหนป่าแห่งนี้เป็นอย่างมาก ทรงรับสั่งว่าหากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ให้นำอัฐส่วนหนึ่งไปบรรจุไว้บนยอดดอยด้วย ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ดอยอินทนนท์ ตามพระนามของผู้ครองนครนั้น และเมื่อขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง จะเห็นสถูปบรรจุพระอัฐของพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ประดิษฐานอยู่
ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
สภาพภูมิประเทศ : ประกอบด้วยภูเขาสูงต่ำสลับซับซ้อน ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร โดยที่ป่าอินทนนท์เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำแม่กลาง แม่ป่าก่อ แม่ปอน แม่ยะ แม่แจ่ม แม่ขาน และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำแม่ปิงซึ่งเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล
สภาพอากาศ
เนื่องจากดอยอินทนนท์มีความสูงมากถึง 2,565 เมตร อากาศจึงหนาวเย็นตลอดปีโดยในเดือนมกราคมเป็นเดือนที่มีอากาศหนาวเย็นมากที่สุดแระมาณ 5.5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิใกล้เคียงกับประเทศคานาดา และอุณหภูมิลดลงถึง -8 องศาเซลเซียส แต่อย่งไรก็ตามจะมีฝนตกบ้างในเดือนพฤศจิกายนและมีเมฆหมอกปกคลุมตลอดเวลา
พรรณไม้และสัตว์ป่า
ป่าไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ขึ้นบนยอดดอยสูงนั้นถือเป็นมรดกที่มีค่ามากในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งประกอบด้วยป่าไม้หลายชนิด เช่น ป่าดงดิบชื้น ป่าสน ป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ พันธุ์ไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ สัก ตะเคียน สนเขา เต็ง เหียง แดง ประดู่ รกฟ้า มะค่า เป็นต้น ดอกไม้สีสวยงามหลายชนิดที่สร้างสีสันให้กับยอดดอยอิทนนท์ไม่น้อย อันได้แก่ ฟ้ามุ่ย ช้างแดง รองเท้า นารีและกุหลาบป่า
สำหรับสัตว์ป่ามีจำนวนมากกว่า 446 สายพันธุ์ แต่สัตว์ที่โดดเด่นของดอยอินทนนท์กลับเป็นสัตว์เล็ก ๆ เช่นเต่าหกเป็นเต่าบกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บริเวณชุ่มน้ำและลำห้วยตั้งแต่ กม. 31 ใกล้กับที่ทำการอุทยานแห่งชาติจนถึงระดับความสูง 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางก็เป็นแหล่งอาศัยของกะท่าง รวมทั้งปลาค้างคาวที่พบตามสำน้ำ กม. 24-31
การดูนก
ตามลักษณะเด่นของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จะมีนกนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ จากการสำรวจพบว่ามีนกถึง 364 ชนิด จากจำนวน 915 ชนิดที่พบในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตอาจจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้มีนกบางชนิดที่หาดูไม่ได้แล้งในที่แห่งอื่น เช่น นกศิวะหางสีตาล นกกระจี๊ดคอสีเทาและนกกินปลีหางยาวเขียว ชนิดย่อยดอยอ่างกา ซึ่งพบที่นี่แห่งเดียวในโลก หากมีลมาในช่วงเดือนตุลาคมป่าก็จะค฿กคักป็นพิเศษ ทั้งนกอพยพและนักดูนกด้วย จุดดูนกที่น่าสนใจ เช่น บริเวณ กม. 13 ซึ่งเป็นจุดดูนกกางเขนน้ำหลังดำ นกพญาไฟคดเทา นกนางแอ่นตะโพกแดง กม. 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนองน้ำหลังบ้านไผ่ไพรวัลย์มีคนพบนกอัญชันหางดำ นกที่พบได้ยากและเป็นที่ใฝ่ฝันว่าจะได้เห็นสักครั้งของนักดูนก
ที่มา : http://www.thai-tour.com/thai-tour/north/Chiangmai/data/place/doiindranon/index.html
ให้กำลังใจตัวเอง
ให้กำลังใจตัวเองใครหลายคนชอบคิดไปไกลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
สิ่งที่ยังไม่เกิด ความคิดนี่แหละ ที่บั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุขที่ควรจะเกิด ควรจะมีให้ลดน้อยลงไป บางขณะ เราน่าจะทำชีวิตให้ดีกว่านั้นได้ง่ายๆ แต่เพราะความคิด ความกังวล ทำให้สิ่งที่น่าจะง่าย กลายเป็นสิ่งยุ่งยาก ถ้าความคิดบางอย่าง ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ยิ่งทำให้กังวล ยิ่งไม่มีความสุข ยิ่งหวาดกลัววันข้างหน้า ก็อย่าไปคิดมันเลย แค่ทำวันนี้ให้มีความสุข ทำให้ดีที่สุดกับเวลานี้ที่มีโอกาสนี้ บางทีใครจะรู้ว่า อะไรๆที่ไปกังวลนั้น อาจจะมาไม่ถึงก็ได้ ชีวิตอาจไม่ยาวนานถึงขนาดนั้น ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะตื่นหรือเปล่า อย่ากังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง มองวันนี้ ทำวันนี้ มีความสุขกับทุกวินาทีที่ยังหายใจอยู่ดีกว่า เวลามีพอเสมอสำหรับความสุข ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ ชีวิตที่พบความทุกข์เป็นชีวิตที่แท้ ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิดขึ้น ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือการเป็นชีวิต ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็งในแง่มุมต่างๆ ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหาก็จะไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่มีความทุกข์ก็ไม่รู้จักความสุข เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคนอ่อนแอหรือเข้มแข็ง ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ ต่างจากความสุขที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ ความสุขเหมือนฝนพรำสาย อ่อนโยน งดงาม บางเบา แต่ว่างเปล่า ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุข เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับ และคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์ ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเอง รู้จักการเติบโตทุกๆก้าว ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่า โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์ เพราะเมื่อผ่านพ้นความทุกข์ ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต มีคนมากมายที่กังวลกับอนาคต แต่เขายังไม่เคยมองปัจจุบันเลยว่าทำอะไรอยู่ และเมื่อตัวคนเดียว กำลังใจจากตัวเองนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีแรงเดินต่อไป เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ แต่ถ้าทำได้คุณจะพบความสุขแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
http://variety.teenee.com/foodforbrain/10940.html
คิดถึงและห่วงใย
10 ที่เที่ยวในหน้าหนาวของไทย
1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
2. ดอยอ่างขาง
3. เขาค้อ - อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
5. ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง จ.เชียงราย
6. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
7. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
8. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ - ดอยแม่เหาะ จ.แม่ฮ่องสอน
9. อุทยานแห่งชาติภูเรือ
10. อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
2. ดอยอ่างขาง
3. เขาค้อ - อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
5. ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง จ.เชียงราย
6. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
7. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
8. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ - ดอยแม่เหาะ จ.แม่ฮ่องสอน
9. อุทยานแห่งชาติภูเรือ
10. อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
การได้เพื่อเสีย หรือ การเสียเพื่อได้...
ชีวิตคนเราถูกเหวี่ยงไปมาระหว่าง...
การได้และการเสีย ไม่มีการได้ที่ปราศจากการเสีย...
และไม่มีการเสียที่ปราศจากการได้ เช่นเมื่อใครสักคนกำลังมีชื่อเสียงเขาก็ต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัว หรือเมื่อคนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ต้องทิ้งเสรีและอิสระบางประการไป ประสบการณ์เกี่ยวกับการได้..การเสีย..
เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนและเกิดขึ้นค่อนข้างเป็นประจำ มั่นคงเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งในการปรับสมดุลให้กับสิ่งนั้น ๆ นอกจากนั้นการได้..
.การเสีย..คงจะเป็นเรื่องของ.."ผลลัพธ์" เช่นคนที่ทำงานหนักก็จะเกิดผลจากการทำงานหนัก...ซึ่งมีทั้งการได้และเสีย...
คนที่โลภและขี้เหนียวก็จะมีผลซึ่งเกิดจากความโลภและความขี้เหนียวของเขา การได้...การเสีย...ในบางกรณี สามารถมองเห็นได้ชัด แต่บางกรณีอาจจะมองเห็นราง ๆ หรือไม่เห็นเลย... ทว่ามีกระบวนการได้และเสียเกิดขึ้นแล้ว...
เราแต่ละคนสัมพันธ์กับการได้..การเสีย...
แตกต่างกัน บ้างหมกมุ่นกับการได้..
การเสียมากเกินไป บ้างไม่ใส่ใจกับผลได้ผลเสียเลย และพวกที่สนุกกับการได้ การเสียก็มี แต่ยังไงเราก็หลีกเลี่ยงการได้และก็การเสียไม่พ้น..
บางทีสิ่งที่เสียก็ไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้กลับคืนมา การใช้ชีวิตนั้นคล้าย ๆ กับการเข้าโรงเรียน.. เพราะมีเรื่องต่าง ๆ ให้เราได้เรียนรู้มากมายไม่รู้จบ และเรื่องหนึ่งในหลาย ๆเรื่องที่เราน่าจะทำความเข้าใจคือการได้...การเสีย..
เรื่องดังกล่าวอาจจะเข้าใจได้ง่ายสำหรับบางคน.
.แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน เนื่องจากโลกนี้ประกอบด้วยคนหลายประเภท อาทิ คนที่เอาแต่ได้ คนที่ชอบคิดว่าตนเองมีแต่เรื่องสูญเสีย คนที่เปิดใจกว้าง คนที่เปิดใจไว้แคบ ๆ คนที่เข้มแข็ง คนที่อ่อนแอ แล้วโดยปกติ.
.คนเรามักนึกถึงเป็นฝ่ายได้ไว้ก่อน การได้มาและการเสียไปเป็นเรื่องปกติของชีวิต แต่ที่มันไม่ปกติเพราะเราชอบการได้..
.และไม่ต้องการสูญเสีย ความรู้สึกในขณะที่ได้หรือกำลังจะได้..
มักพองโต ส่วนความรู้สึกที่เกิดจากการเสียก็จะแบน แฟบ และหดหู่ เรา (ส่วนใหญ่)
นึกถึงข้อดีของการได้..และข้อเสีย ของการเสีย เราไม่ได้ถูกฝึกให้มองเห็นมิติของการได้..การเสียแบบครบถ้วน นอกจากไม่มีการฝึกให้มองเห็น..
เรายังไม่ได้ถูกฝึกให้เฉย ๆ กับการได้..การเสีย.. หรือถ้าฝึก.
..มันก็ยากมากที่จะสอบผ่านให้จบหลักสูตร...
การได้และการเสีย ไม่มีการได้ที่ปราศจากการเสีย...
และไม่มีการเสียที่ปราศจากการได้ เช่นเมื่อใครสักคนกำลังมีชื่อเสียงเขาก็ต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัว หรือเมื่อคนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ต้องทิ้งเสรีและอิสระบางประการไป ประสบการณ์เกี่ยวกับการได้..การเสีย..
เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนและเกิดขึ้นค่อนข้างเป็นประจำ มั่นคงเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งในการปรับสมดุลให้กับสิ่งนั้น ๆ นอกจากนั้นการได้..
.การเสีย..คงจะเป็นเรื่องของ.."ผลลัพธ์" เช่นคนที่ทำงานหนักก็จะเกิดผลจากการทำงานหนัก...ซึ่งมีทั้งการได้และเสีย...
คนที่โลภและขี้เหนียวก็จะมีผลซึ่งเกิดจากความโลภและความขี้เหนียวของเขา การได้...การเสีย...ในบางกรณี สามารถมองเห็นได้ชัด แต่บางกรณีอาจจะมองเห็นราง ๆ หรือไม่เห็นเลย... ทว่ามีกระบวนการได้และเสียเกิดขึ้นแล้ว...
เราแต่ละคนสัมพันธ์กับการได้..การเสีย...
แตกต่างกัน บ้างหมกมุ่นกับการได้..
การเสียมากเกินไป บ้างไม่ใส่ใจกับผลได้ผลเสียเลย และพวกที่สนุกกับการได้ การเสียก็มี แต่ยังไงเราก็หลีกเลี่ยงการได้และก็การเสียไม่พ้น..
บางทีสิ่งที่เสียก็ไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้กลับคืนมา การใช้ชีวิตนั้นคล้าย ๆ กับการเข้าโรงเรียน.. เพราะมีเรื่องต่าง ๆ ให้เราได้เรียนรู้มากมายไม่รู้จบ และเรื่องหนึ่งในหลาย ๆเรื่องที่เราน่าจะทำความเข้าใจคือการได้...การเสีย..
เรื่องดังกล่าวอาจจะเข้าใจได้ง่ายสำหรับบางคน.
.แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน เนื่องจากโลกนี้ประกอบด้วยคนหลายประเภท อาทิ คนที่เอาแต่ได้ คนที่ชอบคิดว่าตนเองมีแต่เรื่องสูญเสีย คนที่เปิดใจกว้าง คนที่เปิดใจไว้แคบ ๆ คนที่เข้มแข็ง คนที่อ่อนแอ แล้วโดยปกติ.
.คนเรามักนึกถึงเป็นฝ่ายได้ไว้ก่อน การได้มาและการเสียไปเป็นเรื่องปกติของชีวิต แต่ที่มันไม่ปกติเพราะเราชอบการได้..
.และไม่ต้องการสูญเสีย ความรู้สึกในขณะที่ได้หรือกำลังจะได้..
มักพองโต ส่วนความรู้สึกที่เกิดจากการเสียก็จะแบน แฟบ และหดหู่ เรา (ส่วนใหญ่)
นึกถึงข้อดีของการได้..และข้อเสีย ของการเสีย เราไม่ได้ถูกฝึกให้มองเห็นมิติของการได้..การเสียแบบครบถ้วน นอกจากไม่มีการฝึกให้มองเห็น..
เรายังไม่ได้ถูกฝึกให้เฉย ๆ กับการได้..การเสีย.. หรือถ้าฝึก.
..มันก็ยากมากที่จะสอบผ่านให้จบหลักสูตร...
เสียใจนะ
10 ผลไม้ไทยมีสารต้านมะเร็ง
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ตผลไม้ทั้งหมดนี้มีสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
• ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย คือ แก้วมังกร มะขามเทศ มังคุด ลิ้นจี่ และสาลี่
• ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูง คือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เม็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอร์รี่ มะละกอสุก ส้มโอขาว แตงกวา และพุทราแอปเปิล
• การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรก คือ
ขนุนหนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำ แก้วมังกรเนื้อสีชมพู สตอเบอร์รี่ และกล้วยไข่
ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของอาหารสารที่ช่วยกำจัด อนุมูลอิสระ ที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด
http://variety.teenee.com/science/10935.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น